Right Up Corner

ad left side

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

ถ้ำหินหลงเหมิน Buddha and his escort in Luoyang, จีน China








ถ้ำหินหลงเหมินหรือถ้ำหินประตูมังกรตั้งอยู่ในหุบเขาหลงเหมินห่างจากเมืองลั่วหยางมณฑลเหอหนานไปทางทิศใต้ 12.5 กิโลเมตร ทั้งด้านตะวันออกและด้านตะวันตกเป็นภูเขา มีแม่น้ำอี๋สุ่ยไหลผ่านตรงกลาง มองดูเสมือนประตูที่มีมังกรโลดแล่นขนาบอยู่ จึงได้ชื่อว่า หลงเหมินคือ ประตูมังกร สถานที่นี้เป็นช่องทางสำคัญทางการคมนาคมที่มีภูเขาสีเขียว และน้ำใสอีกทั้งอากาศก็ดี จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงโด่งดังของนักเขียนและปัญญาชนจีน ในสมัยต่าง ๆ นอกจากนี้ หินในสถานที่นี้ก็มีคุณภาพดี เหมาะสำหรับการแกะสลัก ฉะนั้น คนจีนในสมัยโบราณจึงเลือกสถานที่นี้ขุดเจาะถ้ำหิน

ถ้ำหินหลงเหมินกับถ้ำหินโม่เกาในเมืองตุนหวงมณฑลกันซู่และถ้ำหินหยุนกั่งใน เมืองต้าถงมณฑลซานซีเป็นคลังศิลป์หินสลักที่สำคัญ 3 แห่งของจีน ถ้ำหินหลงเหมินเริ่มงานขุดเจาะ ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเสี้ยวเหวินราชวงศ์เว่ยเหนือ(ค.ศ.471-ค.ศ.477)ใช้เวลา กว่า 400 ปีจึงสร้างแล้วเสร็จ ปัจจุบันจึงมีประวัติ 1500 ปี ความยาวจากใต้สู่เหนือของถ้ำหินหลงเหมินประมาณ 1 กิโลเมตร ปัจจุบัน มีถ้ำหินกว่า 1300 ถ้ำ ช่องบรรจุพระพุทธรูป 2345 ช่อง มีคำเขียนและศิลาจารึกกว่า 3600 ชิ้น เจดีย์พุทธศาสนากว่า 50 องค์ พระพุทธรูปกว่า 97000 องค์ ในจำนวนนี้ ถ้ำกลางปินหยาง วิหารเฟิ่งเซียนและถ้ำกู่หยางนับว่า เป็นสถานที่ที่เป็นตัวแทนที่สุด



ถ้ำกลางปินหยางเป็นถ้ำหินแกะสลักที่เป็นตัวแทนสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ(ค.ศ.386-ค.ศ.512) เป็นถ้ำที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดคือ 24 ปี ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ 11 องค์ พระพุทธรูปศากยมุนีในถ้ำนี้มีความสำคัญที่สุดโดยมีลักษณะที่เด่นสง่า น่าเลื่อมใส มีรอยแย้มพระสรวลอิ่มเอิบด้วยเมตตา สมกับที่เป็นศิลปะหินสลักอันยอดเยี่ยมสมัยช่วงกลางของราชวงศ์เว่ยเหนือ มีพระสาวก 2 องค์และพระโพธิสัตว์ 2 องค์ยืนอยู่ด้านซ้ายและด้านขวา พระโพธิสัตว์ก็ดูเด่นสง่า มีรอยแย้มพระสรวลอิ่มเอิบด้วยเมตตา ภาพหินแกะสลักภายในถ้ำ เช่น พระสาวกฟังธรรมและ นางฟ้าบนเพดานถ้ำก็สร้างขึ้นด้วยฝีมืออันละเอียดประณีต

วิหารเฟิ่งเซียนเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในถ้ำหลงเหมิน เป็นตัวแทนศิลปะหินแกะสลักสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618 - ค.ศ.904) วิหารนี้ยาว 30 เมตรและกว้างก็ 30 เมตร พระพุทธไวโรจนะในถ้ำนี้มี ความสูงประมาณ 17 เมตร มีพุทธศิลป์อันล้ำเลิศ และก็เป็นพระพุทธรูปหินสลักมหึมา สวยที่สุดในโลก

ถ้ำกู่หยางเป็นถ้ำที่สร้างขึ้นอันดับแรกและมีสิ่งที่เก็บสะสมไว้มากที่สุดในถ้ำหลงเหมิน มีทั้งพระพุทธรูปหินแกะสลักจำนวนมากและคำเขียนที่บอกชื่อนายช่าง วันเวลาและสาเหตุในการสร้าง พระพุทธรูปเหล่านี้ ซึ่งเป็นข้อมูลอันล้ำค่าในการวิจัยศึกษาศิลปะหินแกะสลักและศิลปะในการเขียนตัวอักษรจีนแบบลายมือพู่กัน
ถ้ำหลงเหมินได้รับคัดเลือกให้เป็นมรดกระดับโลกเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2000 คณะกรรมการประเมินมรดกระดับโลกประเมินว่า ถ้ำหินและช่องบรรจุพระในเขตหลงเหมินเป็น ศิลปะหินแกะสลักที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและยอดเยี่ยมที่สุดของจีนในสมัยช่วงปลาย ราชวงศ์เว่ยเหนือถึงราชวงศ์ถัง(ค.ศ.493-ค.ศ.907) เป็นตัวแทนศิลปะหินสลักยอดเยี่ยมที่สุดของจีน

ดูแบบ 360 องศา
http://www.world-heritage-tour.org/asia/china/longmen/feng-xian-si/sphere-flash.html

แผนที่

View Buddha and his escort in a larger map

หน้าผาฟอสซิลจ็อกกินส์ Joggins Fossil Cliffs แคนาดา Canada


ฟอสซิลต้นไม้

Statement of Outstanding Universal Value

The classic coastal section at Joggins, Nova Scotia, is of outstanding universal value. It contains an unrivalled fossil record preserved in its environmental context, which represents the finest example in the world of the terrestrial tropical environment and ecosystems of the Pennsylvanian 'Coal Age' of the Earth's history.

About the Cliffs

Preserved in situ at Joggins, “Coal Age” trees stand where they grew, the footprints of creatures are frozen where they once walked, the dens of amphibians are preserved with remnants of their last meal, and the earliest reptiles remain entombed within once hollow trees. Nowhere is this record of plant, invertebrate and vertebrate life within now fossilized forests rendered more evocatively.
Micro tetrapod trackway discovered by Don Reid, still undergoing research. Likely Dromillopus sp.The fossil record includes species first defined at Joggins, some of which are found nowhere else on Earth. It was here that Sir Charles Lyell, with Sir William Dawson, founder of modern geology, discovered tetrapods — amphibians and reptiles — entombed in the upright fossil trees. Later work by Dawson would reveal the first true reptile, Hylonomus lyelli, ancestor of all dinosaurs that would rule the Earth 100 million years later. This tiny reptile serves as the reference point where animals finally broke free of the water to live on land. This evolutionary milestone recorded at Joggins remains pivotal to understanding the origins of all vertebrate life on land, including our own species.
With careful observation and interpretation, you may find your own missing piece of time’s puzzle. As you explore the beach at Joggins, remember that every rock holds the possibility of discovery.

แปลโดย http://translate.google.com

คำชี้แจงของมูลค่า Universal ดีเด่น
ส่วนชายฝั่งคลาสสิกที่ Joggins, โนวาสโกเทียเป็นค่าสากลที่โดดเด่น มันมีบันทึกซากดึกดำบรรพ์หาคู่แข่งไม่ได้เก็บรักษาไว้ในบริบทของสิ่งแวดล้อมของ บริษัท ซึ่งแสดงถึงตัวอย่างที่ดีที่สุดในโลกของสภาพแวดล้อมเขตร้อนบนพื้นดินและระบบนิเวศของ Pennsylvanian'ถ่านหินอายุของประวัติศาสตร์โลก
 

เกี่ยวกับหน้าผา
เก็บรักษาไว้ใน situ ที่ Joggins"ถ่านหินอายุ"ต้นไม้ยืนที่พวกเขาเติบโตรอยเท้าของสิ่งมีชีวิตที่ถูกตรึงที่พวกเขาเคยเดิน, dens ของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจะยังคงอยู่กับเศษของอาหารมื้อสุดท้ายของพวกเขาและสัตว์เลื้อยคลานที่เก่ายังคงอยู่ในต้นไม้กลวงเองเกิดไปปลุกครั้งเดียว . ไม่มีที่ไหนเลยคือบันทึกของพืชนี้สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังและมีกระดูกสันหลังชีวิตภายในป่าฟอสซิลขณะนี้แสดงผลเพิ่มเติม evocatively
Micro tetrapod trackway ค้นพบโดยดอน Reid ยังคงกระบวนการวิจัย ที่น่าจะบันทึก Dromillopus ฟอสซิล sp.The รวมถึงการกำหนดชนิดแรกที่ Joggins บางส่วนที่พบบนโลกไม่มีที่ไหนเลยอื่น มันนี่ที่ Sir Charles Lyell, เซอร์วิลเลียมกับดอว์สันผู้ก่อตั้งธรณีวิทยาสมัยใหม่ค้นพบ tetrapods -- สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกและสัตว์เลื้อยคลาน -- เองเกิดไปปลุกในฟอสซิลต้นไม้ตรง งานในภายหลังโดยดอว์สันจะเปิดเผยความจริงสัตว์เลื้อยคลานแรก lyelli Hylonomus, บรรพบุรุษของไดโนเสาร์ทั้งหมดที่จะกฎ Earth 100 ล้านปีต่อมา สัตว์เลื้อยคลานเล็ก ๆ นี้ทำหน้าที่เป็นจุดอ้างอิงที่มีสัตว์ฟรียากจนที่สุดของน้ำที่จะอยู่บนที่ดิน ขั้นนี้วิวัฒนาการบันทึกที่ Joggins ยังคงเป็นจุดสำคัญในการเข้าใจการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนที่ดินที่มีกระดูกสันหลังรวมทั้งชนิดของเราเอง
ด้วยการสังเกตและการตีความระวังคุณอาจพบชิ้นส่วนที่ขาดหายไปของตัวเองของปริศนาของเวลา ในขณะที่คุณสำรวจชายหาดที่ Joggins โปรดจำไว้ว่าทุกหินถือเป็นไปได้ของการค้นพบ


แผนที่

View Joggins Fossil Cliffs in a larger map

ดวงตาซาฮาร่า Eye of the Sahara มอริเตเนีย Mauritania


In the town of Ouadane is a thirty-mile-wide series of concentric rings, which remind you of crop circles. Unlike their famous counterparts though, we know how these circles came about—the natural erosion of the upwelling of the sedimentary rock has created a rippled pond. It’s not quite easy to travel to Mauritania, as the roads are bad and banditry abound. It is also not easy to see the shape at ground level, so in order to have a great view of the place, hop inside a charter flight from Morocco. The Eye of the
Sahara can be seen from space.

แปลโดย http://translate.google.com
ในเมือง Ouadane เป็นชุดสามสิบกิโลเมตรวงกว้างของศูนย์กลางซึ่งเตือนคุณของวงการพืช ซึ่งแตกต่างจากคู่ที่มีชื่อเสียงของพวกเขา แต่เรารู้วิธีการเหล่านี้มาเกี่ยวกับวงการ - กัดเซาะตามธรรมชาติของ upwelling ของหินตะกอนได้สร้างบ่อซึ่งได้กระเพื่อม มันไม่ได้ค่อนข้างสะดวกในการเดินทางไปมอริเตเนีย, เป็นถนนที่ไม่ดีและการโจรกรรมมาก นอกจากนี้ยังไม่ง่ายที่จะเห็นรูปร่างที่ระดับพื้นดินดังนั้นเพื่อให้มีมุมมองที่ดีของสถานที่ภายในฮอปเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากโมร็อกโก Eye of
ซาฮาราสามารถมองเห็นได้จากอวกาศ

แผนที่

View ดวงตาซาฮาร่า Eye of the Sahara in a larger map

ประตูนรก The Door to Hell, Darvaza เติร์กเมนิสถาน Turkmenistan









Geologists who were drilling in the Karakum Desert in 1971 were surprised to find a cavern that’s 300-feet wide, which was filled with natural gas. When they decided that burning the methane was better than letting it seep into the village nearby, they lit it, expecting a fire burning for weeks. But what really surprised them was that forty years later, the fire is still burning brightly. At night, the bright flames seem to be a picture of hell, hence its local name. Organized by Intrepid Travel, get to camp in yurts with the seminomadic indigenous tribes and listen to their stories. You are advised to bring gas masks, as the sulfuric smells can be quite overpowering.
แปลโดย translate.google.com
นักธรณีวิทยาที่ได้รับการขุดเจาะใน Karakum ทะเลทรายในปี 1971 ได้ประหลาดใจที่พบถ้ำที่ 300 ฟุตกว้างซึ่งเต็มไปด้วยก๊าซธรรมชาติ เมื่อพวกเขาตัดสินใจว่าการเผาไหม้ก๊าซมีเทนได้ดีกว่าปล่อยให้มันซึมเข้าไปในหมู่บ้านใกล้เคียงก็ไฟมันคาดหวังว่าการเผาไหม้ไฟสำหรับสัปดาห์ แต่สิ่งที่พวกเขาได้ประหลาดใจจริงๆว่าสี่สิบปีต่อมาไฟก็ยังคงเผาไหม้สดใส ในเวลากลางคืนให้เปลวไฟสว่างดูเหมือนจะเป็นภาพของนรกจึงชื่อท้องถิ่น จัดโดย Intrepid เดินทางมาถึงค่ายใน yurts กับชนเผ่าพื้นเมือง seminomadic และฟังเรื่องราว
ของพวกเขา ขอแนะนำให้นำก๊าซมาสก์เป็นซัลฟุริกสามารถเอาชนะกลิ่นค่อนข้าง

แผนที่

View The Door to Hell / Turkmenistan, Darvaza in a larger map


View The Door to Hell / Turkmenistan in a larger map

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554

ผีเสื้ออพยพ ผีเสื้อจำศีล ผีเสื้อโมนาร์ก Monarch Butterfly เม็กซิโก Mexico



ผีเสื้อโมนาร์กหลายล้านตัวทยอย เดินทางถึงแหล่งหลบภัยผีเสื้อสำคัยในรัฐมีโชอากัง ทางตอนกลางของเม็กซิโก ปรากฎการณ์ประจำปีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี











ผีเสื้อ โมนาร์กเหล่านี้บินหนีฤดูหนาวที่หนาวเย็นของประเทศแคนาดา และภาคเหนือของสหรัฐ และเดินทางเป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตรลงมาทางใต้เพื่อการจำศีลและผสมพันธุ์ ในป่าเขตร้อน ทางตอนกลางของเม็กซิโก

ต้นไม้หลายร้อนต้นคลาคล่ำไปด้วย ผีเสื้อที่บนมาเกาะ ผีเสื้อเหล่านี้จะพำนักอยู่ที่นี่เป็นเวลาประมาณ 5 เดือนนับจากนี้ไป ปกติพวกมันจะเริ่มมาที่นี่ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนมีนาคมของปี ถัดไป ซึ่งเรียกว่าการย้ายถิ่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิจากสหรัฐและแคนาดา

ปี นี้ผีเสื้อโมนาร์กต้องเผชิญภัยคุกคามใหม่ นั่นคือพายุรุนแรงที่สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับป่า ซึ่งเป็นแหล่งหลบภัยของพวกมันในเม็กซิโก-ปีนี้พายุทำลายแหล่งหลบภัยของ ผีเสื้อโมนาร์กไปแล้วถึง 3 หมื่น 2 พัน 124 เอเคอร์ หรือ 8 หมื่น 1 พัน 190 ไร่ ทำให้แหล่งหลบภัยของพวกมันเหลือน้อยลง

การตัดไม้ทำลายป่าก็เป็นสาเหตุสำคัญอีกอย่างที่ทำให้แหล่งหลบภัยของพวกมันลดน้อยถอยลง

แผนที่

View ผีเสื้อจำศีล Monarch Butterfly in a larger map

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

โอเอซีส Oasis Oases Palm Valley ออสเตรเลีย Australia







Palm Valley Oasis ตั้งอยู่ในวนอุทยานแห่งชาติ ฟิงค์ โกดช์ (Finke Gorge National Park) ทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย ห่างจากรัฐควีนสเลนด์ประมาณ 850 กิโลเมตร Palm Valley Oasis และสถานที่รอบข้างเป็นพื้นที่เดียวในออสเตรเลย ที่มีต้นกะหล่ำปลีแดงปาล์ม (Red Cabbage Palm) หรือ ลิวิสโทนา แมรี ปาล์ม(Livistona mariae palms) อาศัยอยู่ได้ส่วนสัตว์ที่อาศัยอยู่ก็มี เช่น ปลาทะเลทราย กุ่งฝอย ลูกอ๊อด และกบ ปริมาณน้ำฝนที่ได้รับสำหรับ Palm Valley Oasis นั้นค้อนข้างน้อยเพียงแค่  20 cm ต่อปี ถึงแม้ว่าแอ่งน้ำหลักมักจะแห่งขอดแต่ที่นี่ก็ยังมีบ่อน้ำเล็กๆมากมายที่ อาศัยน้ำพุจากใต้ดินซึ่งก็ทดแทนน้ำให้พืชและสัตว์ได้ในฤดูแล้ง

แผนที่

ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น

โอเอซีส Oasis Oases Siwa อียิปต์ Egypt







Siwa Oasis เป็นอีกหนึ่งโอเอซีสในประเทศอียีปตั้งอยู่ในทะเลทรายลีเบีย Siwa Oasis ถูกสร้างขึ้นเป็น เมืองและมีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นประมาณ 23,000คนโดยส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อยชาวเบอร์เบอร์การเกษตร ที่นี่เน้นในการปลูกต้นปาล์มและมะกอก อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจสำคัญที่นำรายได้มหาศาลเข้ามาที่นี่ก็คือการท่องเที่ยว นั่นเอง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาโอเอซีสนี้เพื่อเยี่ยมชมและศึกษาวิถีชีวิตแบบ ดั้งเดิมของคนที่นี่

แผนที่

ดู โอเอซิส Oasis Siwa ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า

โอเอซีส Oasis Oases Oman Desert โอมาน Oman


Nakhl Fort เป็นหนึ่งโอเอซีสที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นอินทผลัมตั้งอยู่ในเขตทะเลทรายใน สาธารณรัฐโอมาน และป้อมปราการขนาดใหญ่ที่ชาวเมืองสร้างใว้เพื่อใช้เป็นเขตทำการค้า และในทางเดียวกันก็ได้ใช้เป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันการรุกรานจากศัตรูไปใน ตัว

แผนที่

ดู โอเอซีส Oasis Oases Oman Desert ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า

โอเอซีส Oasis Oases Qatif Desert ซาอุดิอาระเบีย Saudi Arabia


แผนที่

ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น

yengo ad

BumQ